[x] ปิดหน้าต่างนี้
Powered by KMOBECMAXSITE 1.2.1
    


ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
เรื่อง : ตำนานวังพระยานาคราช
ความรู้จากการปฏิบัติงาน



 

          โดยสุพจน์ กล้าหาญ สพท.สมุทรปราการ เขต 2
ป่าคำชะโนด เกาะกลางน้ำจืดที่ทุกคนต้องการไปเที่ยว
มีสิ่งเล้นลับที่ชาวโลกต้องการพิสูจย์
 
ที่แห่งนี้คือป่าศักดิ์สิทธิ์ ป่าลี้ลับ ป่าอาถรรพ์ และคือป่าที่มีตำนาน ที่ชาวไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และชาวลาวให้ความนับถือเพราะเชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของเมืองนาคินทร์ และวังพญานาค ต้นตำนานแม่น้ำโขงเป็นป่าที่มีความน่าสนใจในแง่พฤกษศาสตร์ ที่โลกต้องทึ่ง!!!กับต้นคำชะโนดที่มีอายุนับหลายร้อยปี และมีอยู่ที่เดียว ณป่าคำชะโนด มีพื้นที่ราว 20 ไร่ ณ ต.วังทอง อ.บ้านดุงจ.อุดรธานีคือ ที่ตั้งของ ป่าคำชะโนด ที่ตั้งตามลักษณะภูมิประเทศเนื่องจากบริเวณนั้นมีต้นชะโนด (อยู่ในตระกูลเดียวกับปาล์ม คล้ายๆ ต้นตาล ต้นหมากหรือไม่ก็ต้นมะพร้าว แต่สูงกว่า) ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นมองไปทางไหนก็เห็นแต่ทิวชะโนดสูงเด่นเป็นสง่า ปี 2520 เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านได้ทำการสำรวจจำนวนต้นชะโนดในป่าแห่งนี้ มีอยู่ราว 2,000 กว่าต้น จนมาถึงปี 2544 ชาวบ้านสำรวจอีกครั้งพบว่าต้นชะโนดลดลงเหลือเพียง 1,865 ต้นถึงกระนั้นที่นี่ยังคงความเย็นชื้นและให้บรรยากาศวังเวงเหมือนเดิมแต่ที่น่าแปลกใจคือ หากพ้นจากดงชะโนดแห่งนี้ไป ห่างกันแค่ไม่ถึง 300 เมตรก็ไม่มีต้นชะโนดปรากฏให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว นี่เองจึงทำให้ผืนดินราว 20 ไร่ถูกตั้งฉายาให้เป็นป่าแห่งชะโนดขนานแท้ "เคยมีคนคิดเอาต้นชะโนดไปปลูกที่อื่นนะแต่ไม่นานก็ต้องเอากลับมาคืนที่เดิม เพราะชีวิตการงานไม่ก้าวหน้าชีวิตครอบครัวมีแต่ความเดือดร้อน ขนาดว่าแค่เอาเมล็ด หรือส่วนใดส่วนหนึ่งอาจจะเป็นใบแห้งๆ ออกจากป่า สุดท้ายต้องเอามาคืนกันหมด"
ทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมืองซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆกับป่าคำชะโนด กล่าวอย่างไรก็ตามผืนป่าแห่งนี้กลายเป็นสถานที่เลื่องชื่อชั่วข้ามคืน เพราะเรื่องเล่า"ผีจ้างหนังที่คำชะโนด" (คนอีสานเรียก ผีบังบดหรือเมืองลับแล ไม่สามารถมองเห็นได้ทั่วไป นอกเสียจากว่าจะมีอะไรดลใจให้เห็น) …. โดยเมื่อปี พ.ศ.2532 ธงชัย แสงชัย เจ้าของบริษัทหนังเร่ดังกล่าว ได้เล่าว่าตนเองถูกว่าจ้างจากใครคนหนึ่งให้ไปฉายหนังกลางแปลงที่งานวัด ที่หมู่บ้านวังทองแถวป่าคำชะโนด ด้วยจำนวนเงิน 4,000 บาท แต่มีข้อแม้คือ ต้องฉายจบแค่ตี 4 ของวันใหม่และให้ออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง โดยห้ามหันหลังกลับมามอง...หลังจากที่วางเงินมัดจำเสร็จ เจ้าของหนังก็จัดแจงเตรียมของอุปกรณ์สัมภาระฟิล์มหนังที่จะนำไปฉาย ไปกับลูกน้องอีก 4 รวมเป็น 5 คน โดยขึ้นรถบรรทุก 6 ล้อมีหลังคา ออกจากตัวจังหวัดบ่ายแก่ ๆ ขับรถเข้าไปแถวป่าคำชะโนดก็เริ่มมืดยิ่งขับไปทางเส้นทางตามที่ผู้ว่าจ้างบอกก็ไม่เห็นว่าจะเจอหมู่บ้านหรือคนที่จะมารับจึงนึกว่าหลงกัน ระหว่างจอดรถว่าจะย้อนกลับไปดีหรือไม่ ก็มีผู้หญิง 2 คนใส่ชุดดำมาร้องเรียกว่าจะนำไปที่วัด คนขับที่เป็นเจ้าของหนังก็รับขึ้นรถแต่แกก็สงสัยว่า 2 คนนี้โผล่มาจากไหนในที่มืดๆ อย่างนี้ พาหนะอะไรก็ไม่มีเมื่อขับเข้าไปในหมู่บ้านก็ยิ่งให้ชวนสงสัยใหญ่ว่าทำไมไม่มีเสียงลำโพงออกมาจากงานวัด ไม่มีเสียง หมอลำ หรือการละเล่นอะไรเลยพอไปถึงหมู่บ้านก็มีคนมารับ แต่แปลกว่าทุกคนจะใส่เสื้อสีขาวกับดำถ้าเป็นผู้ชายใส่ชุดขาว ผู้หญิงใส่ชุดดำแยกให้เห็นชัดเจนแม้แต่เด็กแต่ที่แปลกทุกคนจะทาหน้าขาวหมดเหมือนใช้ครีมพอกหน้า
                      เมื่อถึงที่แล้วทุกคนก็เริ่มตั้งจอภาพยนตร์ เดินสายไฟและเปิดเครื่องปั่นไฟระหว่างที่กำลังกุลีกุจอติดตั้งก็เริ่มเห็นผู้คนทยอยมานั่งดูหนังแต่จะแยกชายหญิงชัดเจน ไม่นั่งรวมกัน และปกติของงานวัดจะต้องมีแม่ค้าแม่ขายมาขายน้ำขายถั่ว ขายปลาหมึกย่าง แต่ที่นี่กลับไม่มีแม่ค้าสักคนพอติดตั้งเสร็จก็เริ่มฉายหนัง หนังที่เอาไปฉายมี 4 เรื่อง เรื่องแรกเป็นหนังสงครามเรื่องที่ 2 เป็นหนังตลกแอ็คชั่น เรื่องที่ 3 กับ 4 เป็นหนังผีระหว่างฉายคนพากย์ก็พยายามพากย์ยิงมุกตลกๆแต่ไม่มีใครหัวเราะหรือแสดงอารมณ์อย่างใดเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไปฉายที่ไหนคนก็จะหัวเราะตลอด จนเริ่มฉายเรื่องที่ 3 ที่เป็นหนังผีสังเกตท่าทางคนที่มาดูเริ่มตั้งใจดูทั้งที่บรรยากาศตอนนั้นก็เที่ยงคืนดูน่ากลัวมากๆระหว่างนั้นทางเจ้าภาพก็จัดข้าวต้มถ้วยเล็กมาให้ทีมงานฉายหนังกินกันทางทีมงานเห็นแล้วก็ละเหี่ยใจ มีแต่ข้าวต้มซีดๆ กะเนื้อชิ้นเล็กๆแต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ ทางทีมงานก็เลยกินกันปรากฎว่าเป็นข้าวต้มที่อร่อยที่สุดที่เคยกินกันมา หลังจากฉายหนังจบถึงตี 2 ผู้คนก็แยกย้ายกันกลับ แป๊บเดียวก็สลายไปหมด ไม่มีใครเหลืออยู่เลยทางทีมงานก็เก็บอุปกรณ์ขึ้นรถ โดยมีผู้หญิงสองคนนั่งรถออกมาส่งก่อนจะร่ำลาก็จ่ายค่าจ้างที่เหลือซึ่งเป็นเงินเหรียญทั้งหมดพอออกมาส่งถึงปากซอยผู้หญิงสองคนนั้นลงจากรถพอรถออกตัวคนขับที่เป็นเจ้าของหนังกลางแปลงหันกลับมาดูก็ไม่เห็นผู้หญิง 2 คนนั้นแล้ว หลังจากกลับมาถึงบริษัท ธงชัย ก็เกิดความสงสัยจึงเช็คประวัติกับผู้ว่าจ้างที่ถ่ายเอกสารให้ตอนวางมัดจำ ก็พบตัวว่ามีชื่อนี้จริงแต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เคยไปว่าจ้างใครไปฉายหนังตามวันและเวลาที่บอกเมื่อสงสัยจัดก็เลยสอบถามไปยังเจ้าอาวาสวัดที่เอาหนังไปฉายทางเจ้าอาวาสก็บอกว่าในวันนั้นที่วัดไม่ได้มีการจัดงานแต่อย่างใดแต่เจ้าอาวาสเล่าว่า ในคืนวันที่เจ้าของหนังมาบอกว่ามีการฉายหนังที่ป่าคำชะโนดจะมีเสียงซู่ๆ เหมือนกับมีพายุพัดเข้ามา ทั้งๆที่คืนนั้นไม่มีลมใหญ่พัดมาจากไหนเลย...นอกจากจะมีเรื่องเล่าผีจ้างหนังที่ป่าคำชะโนดแล้วผืนป่าแห่งนี้ยังมีเรื่องน่าประหลาดอีกเรื่องคือเวลาน้ำแล้งก็จะเห็นว่าดินเชื่อมต่อกันไม่มีอะไร แต่เวลาน้ำท่วม ที่ดินรอบๆจะท่วมหมด แต่ปรากฏว่าป่านี้น้ำไม่ท่วม น้ำขึ้นสูงอย่างไรก็ไม่ท่วมชาวบ้านจึงเชื่อว่า เกาะนี้ลอยน้ำได้

อีกหนึ่งเรื่องเล่าของป่าแห่งนี้ซึ่งคนภายนอกฟังดูอาจคิดว่าเป็นเรื่องอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อหลอกให้คนกลัวกันเล่นๆสำหรับชาวบ้านที่อยู่มานานนมกลับเชื่อสนิทใจ ไม่ใช่นิทานปรัมปรา หรือนิยายประโลมโลกแต่นั่นคือแรงศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อป่าอันลี้ลับและเต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมาย ทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กับป่าคำชะโนดได้ย้อนถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในป่าคำชะโนดว่าเดิมทีคนท้องถิ่นจะเรียกที่นี่ว่า "วังนาคินทร์คำชะโนด"ที่มาก็คือมีบ่อน้ำอยู่กลางดงชะโนด เป็นบ่อน้ำขนาดเล็กๆแต่กลับมีน้ำซึมออกมาตามธรรมชาติตลอดเวลาทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าบ่อน้ำประทานมาให้โดยพญานาคที่อาศัยอยู่ในบริเวณผืนป่าสำหรับบ่อน้ำในป่าคำชะโนด ว่ากันว่าเป็นบ่อน้ำที่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างมากชาวบ้านเชื่อกันอย่างนั้น มีหลายคนเคยลองอธิษฐานตรงหน้าบ่อน้ำก็ได้ตามประสงค์บางคนเจ็บป่วยไปดื่มหรืออาบโรคร้ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง สร้างความอัศจรรย์ใจยิ่งนักแต่นั่นไม่ใช่ทุกคน อยู่ที่ความเชื่อมีมากน้อยแค่ไหน หลายคนไม่เชื่อแถมยังลบหลู่ตักน้ำจากบ่อแล้วนำมาล้างเท้าแทนที่จะหายป่วยไข้กลับทุกข์ทรมานซ้ำหนักกว่าเดิมเช่นเดียวกับใครที่อยากจะเข้าไปสัมผัสป่าลี้ลับคำชะโนดก็ต้องสำรวมและปฏิบัติตามข้อห้ามอื่นๆเป็นต้นว่า ห้ามใส่รองเท้าทั่วทั้งบริเวณป่า หมวก แว่นตา ร่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บุหรี่ ห้ามเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้คือการดูถูกดูหมิ่นต่อผู้ปกปักรักษาผืนดิน "แต่ก่อนห้ามใส่เสื้อสีแดงด้วย ไม่ได้เลยนะ ใครใส่เข้ามานี่เป็นเรื่องอยู่ไม่ได้นานหรอก ต้องรีบออกไป ไม่รู้เพราะอะไร เหมือนท่านไม่ชอบ แต่พอหลวงปู่ (หลวงตาคำ สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศรีสุทโธ วัดละแวกป่าคำชะโนด)ได้ทำพิธีขอยกเว้นตอนหลังก็ใส่ได้" ทองหล่อ ตลิ่งชัน กำนันตำบลวังทอง กล่าวความเชื่อเรื่องพญานาคของคนที่นี่นั้นอาจไม่แตกต่างจากชาวหนองคายที่เชื่อว่าพญานาคมีจริงบั้งไฟพญานาคเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของเจ้าแห่งเมืองบาดาลไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ธรรมดาเหมือนเมื่อครั้งถูกนำเสนอผ่านหนังรวมถึงสื่อทีวีบางช่องเมื่อหลายปีก่อนโน้น
ชาวบ้านละแวกป่าคำชะโนดก็คล้ายกันพวกเขาสร้างทางเดินที่เชื่อมจากโลกภายนอกกับผืนป่าอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไว้ด้วยรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร นอนเลื้อยยาวไปจนสุดทางเดินราว 300 เมตรเพื่อสะท้อนถึงพลังอำนาจและบารมีของพญานาคราช กระทั่งในวันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ชาวบ้านก็มีความเชื่อว่าเป็นวันที่พญานาคจะขึ้นมาหายใจดวงไฟสีแดงที่ผุดกลางบ่อน้ำแล้วลอยขึ้นท้องฟ้า (คล้ายๆกับบั้งไฟพญานาคผุดกลางลำน้ำโขงที่ จ.หนองคาย) นั่นละคือ ลมหายใจพญานาคโดยชาวบ้านเชื่อว่าใครเห็นจะเป็นบุญของชีวิตเลยทีเดียว

ตามตำนานกล่าวว่าเมืองชะโนด มีเจ้าพ่อพญาศรีสุทโธเป็นใหญ่ครองเมืองหนองกระแสครึ่งหนึ่ง มีบริวาร 5,000 ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของสุวรรณนาคและมีบริวาร 5,000 เช่นกันทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันด้วยความรัก สามัคคี มีอะไรก็แบ่งกันกินเป็นเช่นนี้ตลอดมาจนอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค พาบริวารออกไปล่าเนื้อหาอาหาร ได้ช้างมาเป็นอาหารจึงได้แบ่งให้ สุทโธนาค ครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนช้างไปให้ดูเพื่อเป็นหลักฐานต่างฝ่ายต่างก็อิ่มหนำสำราญ และอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค ก็ออกหาอาหารอีกครั้งนี้ได้เม่นมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้สุทโธนาคไปครึ่งหนึ่งพร้อมกับนำขนไปให้เพื่อเป็นหลักฐานเช่นเคย เม่นตัวนิดเดียวแต่ขนใหญ่ เมื่อแบ่งให้สุทโธนาค ก็ไม่พอใจ เพราะพิจารณาดูแล้ว ขนาดขนยังใหญ่ขนาดนี้แล้วตัวคงใหญ่กว่านี้แน่นอน จึงไม่รับเนื้อเม่น พร้อมกับส่งคืน สุวรรณนาคเห็นดังนั้นจึงไปชี้แจงให้ทราบ ขอให้รับไว้เป็นอาหารและผลสุดท้ายทั้งสองจึงประกาศสงครามกัน สาเหตุที่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งออกหาอาหารอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ต้องออกไปเพราะกลัวว่าบริวารจะปะทะกันเมื่อประกาศสงครามกันขึ้นต่างฝ่ายต่างก็ระดมไพร่พลบริวาร สงครามเกิดขึ้น ไม่มีฝ่ายไหนแพ้ ชนะพญานาคทั้งสองรบกันอยู่เป็นเวลา 7 ปี ก็ไม่มีใครแพ้ ชนะเพราะต่างฝ่ายต่างก็หวังครองหนองกระแสเพียงฝ่ายเดียว จนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่รอบๆ หนองกระแสเกิดความเสียหาย เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหวเทวดาต่างก็เดือดร้อนกันไปด้วยสามภพ ความเดือดร้อนทราบไปถึงพระอินทราธิราชผู้เป็นใหญ่เทวดาทั้งหลายต่างก็พากันไปร้องทุกข์และเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้พระอินทร์ได้ทราบดังนั้นจึงได้หาวิธีให้พญานาคทั้งสองหยุดรบกัน เพื่อความสงบสุขของไตรภพจึงได้เสด็จลงจากดาวดึงส์มายังเมืองมนุษย์โลก ที่หนองกระแสแล้วตรัสเป็นเทวราชโองการ ว่า "ให้ท่านทั้งสองหยุดรบกันเดี๋ยวนี้"การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าเสมอกัน และให้หนองกระแสเป็นเขตปลอดสงครามและให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำคนละสาย จากหนองกระแสใครสร้างถึงทะเลก่อนจะได้ปลาบึกไปไว้ในแม่น้ำแห่งนั้นและให้ถือเอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้นคนละฝ่ายใครข้ามไปราวีรุกรานกันขอให้ไฟจากภูเขาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลมหาจุลหลังจากพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการเช่นนั้นสุทโธนาคพร้อมไพร่พลอพยพออกจากหนองกระแสสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแสเมื่อถึงตรงไหนเป็นภูเขาก็คดโค้งไปตามภูเขาหรืออาจจะลอดภูเขาบ้างตามความยากง่ายในการสร้าง เพราะสุทโธนาคเป็นคนใจร้อนแม่น้ำนี้เรียกว่า "แม่น้ำโขง"คำว่า โขงมาจากคำว่า โค้ง ได้ถึงทะเลก่อนจึงได้เป็นผู้ชนะ ปลาบึกจึงอยู่แม่น่ำโขง ส่วนฝั่งลาวเรียกว่าแม่น้ำของฝ่าย สุวรรณนาคเมื่อได้รับเทวราชโองการก็พาบริวารไพร่พลออกจากหนองกระแสสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาคเป็นคนตรงพิถีพิถันและยังเป็นผู้มีจิตใจเย็น การสร้างแม่น้ำจึงต้องทำให้ตรงแม่น้ำนี้เรียกว่าแม่น้ำน่านแม่น้ำแห่งนี้จึงเป็นแม่น้ำที่ตรงกว่าแม่น้ำทุกสายในประเทศไทยการสร้างแม่น้ำแข่งขันปรากฏว่า สุทโธนาค สร้างแม่น้ำโขงเสร็จก่อนตามสัญญาของพระอินทร์ สุทโธนาคเป็นผู้ชนะ และปลาบึกจึงต้องไปอยู่แม่น้ำโขงแห่งเดียวในโลก จากนั้น สุทโธนาคจึงได้แผลงฤทธิ์เหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ ทูลถามพระอินทร์ว่า "ตัวข้าเป็นชาติเชื้อพญานาค จะอยู่โลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้"จึงได้ขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองมนุษย์ เอาไว้ 3 แห่งพร้อมกับทูลถามว่า "จะให้ครอบครองอยู่ตรงไหนแน่นอน"พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงอนุญาตให้มีรูพญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ ที่ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ ที่หนองคันแทและที่พรหมประกายโลก(คำชะโนด)ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ และหนองคันแทเป็นทางขึ้น-ลงของพญานาคเท่านั้น ส่วนพรหมประกายโลก คือที่พรหมได้กลิ่นไอดินเมื่อพรหม เทวดา ลงมากินดินจนหมดฤทธิ์ กลายเป็นมนุษย์แล้วให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ถือเป็นต้นไม้บรรพกาลให้สุทโธนาค และมีลักษณะ 31 วัน โดยข้างขึ้น 15 วันให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์ เรียกว่า "เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ"มีวังนาคินทร์คำชะโนดเป็นถิ่น และอีก 15 วันข้างแรมให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นนาค และเรียกชื่อว่า "พญานาคราชศรีสุทโธ"ให้อาศัยอยู่เมืองบาดาล

ภาพถ่ายทหารอเมริกัน ปี 2518 (ผู้เขียนอาศัยอยู่อำเภอปากคาด)


หลายท่านคงจะเคยเห็นภาพนี้เป็นอย่างดี ทหารแห่งกองทัพสหรัฐอเมริกา กับปลาน้ำลึกชื่อ oar fish ที่มักจะเข้าใจว่าเป็นพญานาค ภาพนี้ตีพิมพ์ซ้ำหลายต่อหลายครั้ง และยังพิมพ์เป็นโปสเตอร์ขนาดใหญ่วางขายทั่วไปในประเทศไทยและลาว มีผู้อ้างว่า รูปนี้ถ่ายเมื่อ วันที่ 27 มิ.ย. 2516 เมื่อทหารอเมริกันที่ตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศลาว จับสัตว์ชนิดหนึ่งได้ในแม่น้ำโขง ชาวลาวเรียกกันว่า "บางพยาบาภ" หรือนางพญานาค หรือ นางพยานาก ในภาษาลาว (Queen of Nagas) วัดความยาวได้ ประมาณ 7.80 เมตร ที่จริงแล้วก็คือ ปลาออร์" (Oarfish, Dragon of the Deep'')

นานมาแล้วที่ชาวเรือเล่าลือถึง "มังกรทะเลลึก" (Dragons of The Deep) มีนิยายเก่าแก่บรรยายว่า "มังกรทะเลมีลำตัวยาวคล้ายงู หัวเหมือนม้ามีขนคอสีแดงดุจเปลวเพลิง" ชาวประมงเคยพบขณะแล่นเรือหาปลาในทะเลนักชีววิทยาค้นคว้าพบความจริงว่า ที่แท้แล้วคือ ปลาประหลาดชนิดหนึ่ง เรียกว่าปลาใบพาย หรือ ปลาริบบิ้น หรือปลาออร์เป็นปลาน้ำลึก มีขากรรไกรยาว หน้าผากโหนกคล้ายม้า ตาโตครีบบนหลังยื่นออกมายาวเลยหัว มีครีบพิเศษยื่นออกมาทั้งสองข้างของส่วนหัวคล้ายใบพายและมีลำตัวแบน ปลาชนิดนี้หาดูยาก เพราะอาศัยในระดับความลึกถึง 3,000 ฟุตส่วนใหญ่พบในสภาพที่ตายแล้ว เพราะถ้าพลัดหลงมาน้ำตื่น จะตายทันทีพบตัวใหญ่ที่สุดยาวถึง 200 ฟุต แม้มีขนาดใหญ่โตอย่างไร แต่ก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไม่มีเขี้ยวหรืออาวุธ แต่เป็นสัตว์โลกแสนสวยน่าดูมากดังนั้นที่มีผู้อ้างว่าจับปลาชนิดนี้ได้ที่แม่น้ำโขงจึงเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นปลาน้ำเค็ม ซ้ำเป็นปลาน้ำลึกมาก ยืนยันได้ว่าปลาตัวนี้ ไม่ใช่พญานาค
 

 



ดาวน์โหลดไฟล์แนบ

ผู้เขียน : khunsuphot
หน่วยงาน : สพท.สป.2
พฤหัสบดี ที่ 26 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2553
เข้าชม : 12178
4.5 stars เฉลี่ย : 4.5 จาก 8 ครั้ง.


ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 5 อันดับล่าสุด

      การบริหารความเสี่ยง 8 / ส.ค. / 2554
      การเขียนบทความทางวิชาการ 2 / พ.ย. / 2553
      การเขียนบทความทางวิชาการ 2 / พ.ย. / 2553
      การคิดอย่างทองนพคุณ 4 / ก.ย. / 2553
      หลวงพ่อพระใส 26 / ส.ค. / 2553


เชิญร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยสมัครเป็นสมาชิกของศูนย์จัดการความรู้
สิทธิของสมาชิก สามารถบันทึกขุมความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และดาวน์โหลดได้
คลิกที่นี่สมัครสมาชิก