“รักความเป็นไทย” ต้องมีสุนทรียรสในภาษาไทย
ครูรัชชุดา ธัญรดาวงศ์
“รักความเป็นไทย” เป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ข้อหนึ่งของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะดังกล่าว เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก
อะไรบ้างที่แสดงถึงความเป็นไทย ที่ครูจะสามารถจัดกิจกรรมเพื่อก่อให้เกิดคุณลักษณะอันพึงประสงค์นี้ ก็คงมีมากมาย แต่ที่ผู้เขียนเห็นว่ากิจกรรมที่น่าจะใช่แน่นอนก็คือ “กิจกรรมฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง และอย่างมีสุนทรียรสทางภาษา” นั่นเอง
สุนทรียรสจะทำให้คนเกิดความซาบซึ้ง เห็นคุณค่าของความงามของภาษา มีความสงบของจิต มีสมาธิ สามารถพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ช่วยฝึกให้รู้จักคิด ฝึกการเป็นผู้นำ กล้าแสดงออก และสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
กิจกรรมที่จะก่อให้เกิดสุนทรียรสทางภาษาได้อย่างชัดเจน ก็คือ การอ่านบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะ
บทร้อยกรองที่มีคุณค่า กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดให้เป็นบทอาขยาน แต่เดี๋ยวนี้
บทอาขยานกลายเป็นบทอาขยาดไปแล้ว หาเด็กในโรงเรียนที่จะเป็นแม่แบบอ่านเป็นทำนองเสนาะก็ยากแสนเข็ญ ทั้งครูเองก็ไม่กล้าพอที่จะเป็นแม่แบบให้เด็กได้ ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อไป
คำว่า “รักความเป็นไทย”คงไม่เต็มร้อยแน่ จึงควรหันมาฟื้นฟูการอ่านบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะ เพื่อแสดงออกถึง “รักความเป็นไทย” จริง ๆ
หลักการและทฤษฎี
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุนทรียรสทางภาษาโดยใช้บทร้อยกรองเป็นสื่อ อาศัยหลักการทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุนทรียภาพทางศิลปะ ดนตรีและพลศึกษา ซึ่งเป็นแนวคิด 3 ทฤษฎีรวมกันคือ
1. ทฤษฎีความเหมือน ผู้เรียนจะเรียนรู้โดยการเลียนแบบจากแม่แบบ
ซึ่งประกอบด้วยการลอกเลียนแบบและการทำซ้ำ
1.1 การลอกเลียนแบบ เป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างหนึ่งที่จะต้องเริ่มจากการคัดเลือกแม่แบบ อาจเป็นครู นักเรียน ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ หรือสื่อซีดี วีซีดี เทป ที่จะสร้างให้เด็กเกิดความประทับใจหรือซาบซึ้งในเสียงที่ได้ยิน แล้วเด็กจะอาศัยเลียนแบบ เพื่อจะลอกเลียนเสียงให้เหมือนแบบ
1.2 การทำซ้ำ เป็นการย้ำทักษะ เพื่อให้เกิดความแม่นยำ คล่องแคล่วเป็นอัตโนมัติ ไม่เก่งแต่ชำนาญไม่เชี่ยวชาญแต่เคยมือ (ปาก) การฝึกฝนก็คืออ่านแล้วอ่านอีก อ่านแล้วก็อ่านอีก
2. ทฤษฎีความต่าง
เป็นความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงจากความซ้ำซากจำเจในการฝึกตามแบบ ต้องการหาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อความตื่นเต้นและมีชีวิตชีวา
3. ทฤษฎีความเป็นตัวเอง
ผู้เรียนรู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ ทำอยู่ ไม่ใช่ของตัวเอง จึงเกิดความพยายามที่จะสร้างอะไรขึ้นมาใหม่ เพื่อจะแสดงความเป็นตัวของตัวเองบ้าง แม้จะน้อยนิดก็ยังดี เป็นการแสวงหาทิศทางใหม่
จากทฤษฎี 3 แนวทาง ผู้เขียนจึงสรุปเป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุนทรียรสทางภาษา ด้วยการอ่านบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะ ดังนี้
ฝึกใส่ทำนองเอง
ฝึกท่องบทใหม่
ฝึกฝนจนคล่อง
เลียนแบบให้ได้ผล
1. เลียนแบบให้ได้ผล
ต้นแบบหรือแม่แบบที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดก็คืออาขยานบทหลักที่จะให้นักเรียนท่องจำ เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วประเทศ และเพื่อให้การเลียนแบบได้ผล
จำเป็นต้องมีวิธีการที่จะให้เกิดความประทับใจ/ซาบซึ้ง โดยการให้นักเรียนได้ยินเสียงครูอ่านอย่างไพเราะ หรือนักเรียนรุ่นพี่ที่ได้รับการเลือกเฟ้นให้มาอ่านเป็นตัวอย่างแก่น้อง ๆ
2. ฝึกฝนจนคล่อง
การได้อ่านบทร้อยกรองบทเดิมเป็นทำนองเสนาะบ่อย ๆ อ่านให้เกิดความแม่นยำ
คล่องแคล่ว เป็นอัตโนมัติ ทำจนเกิดความชำนาญ
3. ฝึกท่องบทใหม่
เพื่อให้เกิดความท้าทาย และหนีจากความจำเจ จึงให้นักเรียนได้เลือกบทร้อยกรองอื่น ๆ หรือบทเลือกอิสระที่เป็นบทอาขยาน เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่า แม้บทใหม่ก็อ่านได้เหมือนกัน
4. ฝึกใส่ทำนองเอง
การอ่านร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะตามทำนองโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ฯลฯ นั้น เมื่อฝึกฝนจนชำนาญแล้ว จะมีความรู้สึกที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องการบรรยากาศใหม่ ต้องการสร้างสรรค์ผลงานการอ่านออกมาในแนวทำนองอื่น ๆ อาจเป็นทำนองเพลงไทยเดิม ทำนองเพลงพื้นบ้าน หรือแม้แต่ทำนองที่ตัวเองคิดขึ้น ซึ่งจะเป็นพื้นฐานการแต่งเพลงต่อไป
ทั้งสี่ขั้นที่นำเสนอนี้ ครูต้องจัดเวทีให้เด็กได้แสดงออก และเสริมด้วยการให้ขวัญ กำลังใจ เพื่อให้เขาก้าวไปสู่ความเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ให้ระลึกเสมอว่า ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่คือผู้ที่สามารถแสดงความเป็นตัวเองได้อย่างชัดเจน ...ผู้เขียนขอเชิญชวนมาช่วยกันหาแบบที่ดีกันเถอะ ถ้ายังไม่มีหรือ
ยังไม่ดีพอ ก็ให้ช่วยกันสร้างแบบที่ดีขึ้นมา แล้วเดินขึ้นบันไดสี่ขั้นที่ว่ามานี้........อาจจะพบว่า วิธีนี้ช่วยแก้ปัญหาอื่นได้ด้วย....โชคดีค่ะ
|