บริบทใหม่การศึกษาไทย ในทศวรรษหน้า
บริบทของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 (2555-2559)
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กำลังระดมทรัพยากรของประเทศทุกส่วน เข้าสู่การกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (2555-2559) โดยมองไปข้างหน้าถึงวิสัยทัศน์ พ.ศ.2570 เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคตอย่างน้อย 15 ปี เอกสารการนำเสนอส่วนหนึ่งได้วิเคราะห์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลและยั่งยืนโดยเสนอให้ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นทางเลือกของเศรษฐกิจไทย”เพื่อให้ประเทศไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพิงปัจจัยการผลิตราคาถูก (Factor-driven Economy) ไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างนวัตกรรม(Innovation-drivenEconomy)โดยมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีสัดส่วน ร้อยละ 14-17 ของรายได้ประชาชาติ ถือว่าไม่น้อยทีเดียว
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) เป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้การศึกษาการสร้างสรรค์งาน และการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา ที่เชื่อมโยงรากฐานทางวัฒนธรรม การสั่งสมความรู้ของสังคม และเทคโนโลยี/นวัตกรรมสมัยใหม่ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ มรดกทางวัฒนธรรม ศิลปะ สื่อ และงานสร้างสรรค์ตามลักษณะงาน โดยสภาพัฒน์ได้เสนอแนวทางพัฒนาออกมาถึง 19 ประเภทอุตสาหกรรมหลักด้วยกัน
1.การโฆษณา
2. สถาปัตยกรรม
3.การออกแบบ
4.แฟชั่น
5.ภาพยนตร์และวิดีโอ
6.ฮาร์ดแวร์
7.ท่องเที่ยว
8.วรรณกรรม
9.ดนตรี
10.พิพิธภัณฑ์
11.การพิมพ์-สื่อสิ่งพิมพ์
12.ซอฟต์แวร์
13.กีฬา
14.ศิลปะการแสดง
15.การกระจายเสียง
16.วิดีโอเกม
17.ทัศนศิลป์ การถ่ายภาพ งานฝีมือ
18.อาหาร
19.การแพทย์แผนไทย
สภาพัฒน์ยังได้สรุปปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เกี่ยวกับการศึกษาไว้ส่วนหนึ่งว่า“หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ค่อนข้างน้อย เช่น กระทรวงศึกษาธิการ ยังมุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับมหภาค จึงขาดการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิตรายสาขา” ซึ่งสถาบันการศึกษาจะต้องให้ความสำคัญต่อการสร้างองค์ความรู้ การวิจัยและพัฒนา เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบนั่นเอง
เห็นได้ชัดเจนว่า ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 จะต้องมุ่งนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพราะมีตัวเลขของมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้สูงยิ่ง กับมี Best Practice ทั้งในสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และฮ่องกง ที่เน้นทั้งโครงสร้างและระบบประสบผลสำเร็จมาแล้ว ไม่ต้องอื่นไกล ดูจากญี่ปุ่นที่เป็นต้นแบบสินค้าชุมชน เกาหลีเป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมสื่อ อาหารและวัฒนธรรมอย่างโดดเด่นมาแล้ว เช่นกัน สำหรับประเทศไทยมรดกทางวัฒนธรรมมีล้นเหลือ ควบคู่ไปกับภูมิปัญญาชาวบ้าน และท้องถิ่นมากพอจะพัฒนาได้ แต่ต้องจัดโครงสร้างให้เป็นระบบ และมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ คงต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ดังกล่าวด้วย
ดังนั้นแผนการศึกษาชาติ แผนพัฒนาอุดมศึกษาระยะยาว แผนการจัดตั้งสถาบันอาชีวศึกษา รวมถึงทศวรรษที่ 2 ของการปฏิรูปการศึกษา พึงต้องขยายหรือเน้นการศึกษาและวิจัยใน 5 เรื่องใหญ่ๆ เช่น
1.มรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา และความหลากหลายทางชีวภาพ
2.เอกลักษณ์ศิลปะและวัฒนธรรม
3.งานช่างฝืมือ และหัตถกรรม
4.อุตสาหกรรมสื่อ บันเทิง และซอฟต์แวร์
5.การออกแบบและพัฒนาสินค้าเชิงสร้างสรรค์
การจัดการศึกษาพึงได้บูรณาการ จัดทรัพยากรให้เกิดคลัสเตอร์ ที่จะนำไปสู่ “นวัตกรรม” ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีงบประมาณจากภาครัฐ สนับสนุนและกำหนดตัวชี้วัดให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะงบประมาณไทยเข้มแข็ง 45,389 ล้านบาท ที่กระทรวงศึกษาธิการได้รับ พึงต้องแบ่งมาให้สถาบันที่จัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไว้ด้วย
เป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษหน้าเห็นเพียงโครงการพัฒนาครูยุคใหม่เท่านั้นที่พอมองเห็นเค้าโครง ส่วนการสร้างคนยุคใหม่ การสร้างแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่และการจัดการศึกษายุคใหม่ ยังมองไม่เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน หากจะนำบริบทของการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจใหม่ในอนาคตผนวกไว้ในโครงการพัฒนาไว้ด้วย น่าจะส่งผลสัมฤทธิ์ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ได้มากทีเดียว
|